Sunday, June 23, 2013

เขื่อนในฐานะกลไกด้านชลประทานและกลไกด้านพลังงาน

Tuesday, June 18, 2013
4:40 PM
กลุ่ม
รายละเอียด
กลุ่ม Media
การนำเสนอแนวทางในการพัฒนาและนโยบายการใช้พลังงานในประเทศนอร์เวย์ โดยมีแนวคิดในการบริหารจัดการพลังงานอย่างยั่งยืนที่ประสบความสำเร็จของประเทศนอร์เวย์


กลุ่ม Techno
โครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำขนาดเล็กท้ายเขื่อนชลประทาน 6 แห่ง รวม  78.7  เมกะวัตต์ ได้แก่
โครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ กำลังผลิต 6.7  เมกะวัตต์
โครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนขุนด่านปราการชล กำลังผลิต 10  เมกะวัตต์
โครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนเจ้าพระยา กำลังผลิต 12 เมกะวัตต์
โครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนนเรศวร กำลังผลิต 8 เมกะวัตต์
โครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนแควน้อย กำลังผลิต 30 เมกะวัตต์
โครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนแม่กลอง กำลังผลิต 12 เมกะวัตต์


Loxley-AGT offers flood simulations
กลุ่ม Politics
แผนพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 1 (..2504-2509)

กำหนดแนวทางหลักในการพัฒนาประเทศ โดยเฉพาะการลงทุนในสิ่งก่อสร้างพื้นฐาน ในรูปของระบบคมนาคมและขนส่ง ระบบเขื่อนเพื่อการชลประทานและพลังไฟฟ้า ตลอดจนสาธารณูปโภคต่าง ๆ โดยหวังว่าปัจจัยที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานเหล่านี้จะเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการขยายตัวทางเศรษฐกิจ กล่าวคือ ส่งเสริมบรรยากาศเพื่อให้มีการลงทุนในภาคอุตสาหกรรม ในขณะเดียวกันก็เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการขยายตัวของพื้นที่เพาะปลูก

แผนพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 2 (พ.ศ.2510-2514)

ความเหลื่อมล้ำทางรายได้ที่เพิ่มขึ้นนี้ส่วนหนึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจากแนวทางการพัฒนาในระยะของแผนพัฒนาฯทั้งสองฉบับที่ผ่านมา ซึ่งเน้นโครงการก่อสร้างปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจ เช่น ถนน ไฟฟ้า เขื่อน ท่าเรือ โทรศัพท์ เป็นต้น โดยตั้งอยู่ในความเชื่อพื้นฐานที่ว่า การเพิ่มการผลิตของประเทศจะต้องอาศัยปัจจัยพื้นฐานเหล่านี้ ปรากฏว่าโครงการเหล่านี้ก่อให้เกิดประโยชน์แก่ประชาชนบางส่วน เนื่องจากไม่สามารถส่งประโยชน์ให้ถึงประชาชนอย่างทั่วถึง ผู้ได้รับประโยชน์จะเป็นผู้ใกล้แหล่งที่จะใช้บริการพื้นฐานและมีปัจจัยการผลิตพร้อมมูล ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในอุตสาหกรรมและพาณิชยกรรม จึงเห็นได้ว่าแต่ละบุคคลมีโอกาสที่จะได้รับประโยชน์จากการเพิ่มผลผลิตและรายได้ของตนจากการบริการและการลงทุนของรัฐ ไม่เท่าเทียมกัน จึงส่งผลให้ช่องว่างทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้มีการกระจายรายได้ที่แตกต่างกันมากขึ้น

นโยบายการพัฒนาเทคโนโลยีสะอาด http://www.egat.co.th/images/stories/demo/tech/CDM_ONEP270850.pdf
การ Econ
ปัจจุบันลาวมีเขื่อนที่สามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้แล้วจำนวน 14 แห่ง ซึ่งสามารถผลิตไฟฟ้าได้ 2,540 เมกะวัตต์ โดยเขื่อนที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศในขณะนี้คือ "เขื่อนน้ำเทิน 2"   ด้วยกำลังการผลิต 1,070 เมกะวัต

ต้องยอมรับว่าในช่วงไม่กี่ปีมานี้ "ลาว" เป็นประเทศหนึ่งในอาเซียนที่น่าจับตามองอย่างยิ่ง เพราะแม้ในช่วงที่หลายประเทศทั่วโลกได้รับผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจและการเงินโลก แต่ประเทศเล็กๆ ที่มีประชากรเพียงแค่ราว 7 ล้านคนแห่งนี้กลับไม่ได้รับความกระทบกระเทือนแต่อย่างใด มิหนำซ้ำเศรษฐกิจลาวยังสามารถเติบโตได้อย่างรวดเร็วอีกด้วย โดยพบว่าในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (ปี 2007-2011) ลาวมีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจเฉลี่ยสูงถึงเกือบ 8% ในแต่ละปี เทียบกับค่าเฉลี่ยรวมของประเทศในกลุ่มอาเซียนซึ่งอยู่ที่ราว 6% นอกจากนี้ รายได้เฉลี่ยต่อหัวประชากร (GDP per capita - PPP basis) ของลาวในปัจจุบันยังได้ปรับตัวสูงขึ้นไปอยู่ที่ 2,865 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อคนต่อปีแล้ว เทียบกับช่วง 5 ปีก่อนหน้าซึ่งอยู่ที่ประมาณ 1,900 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อคนต่อปี หรือเพิ่มขึ้นถึงกว่า 6% ต่อปีเลยทีเดียว หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ "คนลาวกำลังรวยขึ้น" นั่นเอง

Stakeholder
การประท้วงของชาวบ้านเขื่อนปากมูลต่อโครงการ 3.5 แสนล้านที่หน้าทำเนียบ

The firm later planned to nearly double the capacity of the dam to generate about 1040MW of electricity. Studies showed that the dam could cause floods in the area and that about 61,000 acres [25,000 hectares] of farmland was exposed to the risk.
สถานการณ์ในปัจจุบัน


Created with Microsoft OneNote 2013.

Tuesday, June 4, 2013

Successful startup ecosystem

Learn to focus on creating value
Find cooperation where you thought there was only competition
Study and learn not only techniques, but also mentality and attitude from ecosystems that have succeeded
When opportunity arises, seize it!
Always strive to be inclusive -
if you leave your door open, value and resources will come to you


















ref. http://efraimip.blogspot.com/2012/10/startups-zero-sum-vs-positive-sum.html

อะไร ๆ ก็โทษระบบ

ในช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมา รัฐออกมาแถลง การเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยระบุว่า การส่งออกมีปริมาณส่งออกไปยังฮ่องกงอยู่ที่  USD12 billion แต่เมื่อมีการทักท้วง กลับพบว่ามีการส่งออกจริงเพียง USD 1.2 billion ผิดไปเกือบ 10 เท่า (1) หาที่มาที่ไปของตัวเลขดังกล่าวพบว่า หนึ่งในนั้นคือบริษัท Seagate Technology (Thailand) (2) โดยการ key data ของบริษัท UPS SCS (Thailand) จาก USD 12k เป็น USD 1 billion ซึ่งผิดไปราว 83,333 เท่า!! (คำนวณไปก็ทุเรศสายตาไป..) นั่นหมายความว่ายังคงมีต้นตออีกราว 11 billion ที่ยังต้องตามหาว่ามาจากไหน ก็คงต้องรอดูว่า กรมศุลกากรจะแถลงอะไรเพิ่มเติมออกมาอีก เพราะลำพังจะไปหวังอะไรกับ รมต. กิตติรัตน์ อีกก็คงยาก


สิ่งที่น่ากังวลใจสำหรับท่าทีของกรมศุลกากร คือมีแนวคิดในการแก้ปัญหาด้วยการทำระบบป้องกันการคีย์ผิด (3) ก็อยากจะตั้งข้อสังเกตในฐานคนทำระบบดังต่อไปนี้
  1. ระบบที่ใช้ในกลุ่มงานนี้ มักจะเป็นการดึงข้อมูลจากระดับล่างขึ้นมา นั้นคือ การดึงจากระบบระดับล่างเช่น EDI อัตโนมัติ ซึ่งแน่นอนว่าในการดึง หากข้อมูลระดับล่างมีข้อมูลผิด ข้อมูลที่ดึงไปก็จะผิดเช่นเดียวกัน และจากข่าวปรากฏว่า ข้อมูลระดับ EDI นั้น ได้ถูกแก้ไขหลังจากที่ผู้ใช้ข้อมูลพบความผิดพลาดดังกล่าวแล้วแต่กลับไม่ได้มีการแก้ไขในระบบต่อ ๆ ไปที่มีการนำข้อมูลไปใช้
  2. การประมวลผล ปกติข้อมูลรายเดือนจะได้จากการประมวลผลข้อมูลรายวัน ปกติข้อมูลการนำเข้าส่งออกรายวันจะถูกประมวลรายวันเข้าหน่วยงานของกรมศุลกากรอยู่แล้วแต่คาดผู้มีหน้าที่รับผิดชอบดูแล ละเลยหน้าที่ในการสรุปและตรวจสอบข้อมูลรายวันให้ถูกต้อง เป็นไปไม่ไดเลยที่จะไม่เห็นความแตกต่างในระดับ 83,333 เท่า ในข้อมูลดังกล่าว
  3. ผู้บริหารระดับกลางและสูงที่มีหน้าที่รับผิดชอบโดยตรงต่อการนำข้อมูลไปใช้ ไม่มีความเข้าใจและใส่ใจในข้อมูล แม้จะอ้างว่าข้อมูลไม่ได้ผ่านมือ แต่การลงนามรับรองตัวเลขก่อนนำส่งรัฐมนตรีก็ทำให้ไม่อาจปฏิเสธความรับผิดชอบดังกล่าวได้


สุดท้าย สาเหตุความผิดพลาดจริง ๆ เกิดจากระบบ การคีย์ข้อมูลหรือการพยายามโกหกสีขาว ควรแก้ปัญหาให้ถูกจุด ไม่ใช้อะไรก็ไปลงที่ระบบ